ดู หนัง ออนไลน์ ฟรี แอคติ้งระดับท็อปแบบเล่นสุดทุกคน ถึงคิวอีกหนึ่งหนัง จากสายเทศกาลในช่วงปีที่ผ่านมา ดูหนังออนไลน์ คลื่นเสียงของความกลัวตาย ที่ชนะรางวัลติดไม้ติดมือมาจากเทศกาลหนัง เวนิสมาได้ แม้ว่ากระแสจะค่อนข้างแผ่วกว่าหนัง หวังรางวัลเรื่องอื่น ๆ สักหน่อย แต่ “White Noise” ก็เป็นหนัง ครอบครัวตลกร้ายสไตล์กระแทกกระทั้นสังคมอเมริกาในยุค 80s ได้อย่างสวยงาม แม้ว่าสารและข้อความของหนัง จะค่อนข้างยากที่คนดูจะเข้าถึงไปสักหน่อย แต่นี่ก็จัดได้ว่าเป็น ดู หนัง ออนไลน์ ฟรี ที่เต็มไปด้วยแอคติ้งชั้นยอด White Noise เป็นผลงานหลากรส ทั้งขบขันและน่ากลัว งดงามและบ้าบอ ธรรมดาและวุ่นวายขั้นวิบัติ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวชาวอเมริกันสมัยใหม่ที่ต้องพยายามรับมือกับความขัดแย้งสุดจำเจในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับปริศนาที่ทุกคนต้องเจอในเรื่องความรัก ความตาย และความสุขที่อาจเกิดขึ้นได้ในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน หากว่าเมื่อสิ้นปีที่แล้ว คุณเคยประทับใจและชอบหนังแบบ Don’t Look Up ไม่แน่ว่าสิ้นปีนี้คุณอาจจะชอบ White Noise เรื่องนี้ เพราะอย่างน้อย ๆ นี่ก็คือหนังหายนะที่เต็มไปด้วยความข้อมูลข้อเท็จจริงที่กระจัดกระจายแบบชาวบ้าน ๆ ที่พยายามนำสารต่าง ๆ มาวิเคราะห์หาการเอาด้วยรอด แต่บอกเอาไว้เลยว่าการนำเสนอของหนัง เรื่องนี้ น่าจะทำให้ผู้ชมรู้สึกชอบหรือไม่ก็เกลียดหนัง เรื่องนี้ไปเลยอย่างสุดขั้ว
White Noise (2022) คลื่นเสียงของความกลัวตาย ดู หนัง ออนไลน์ ฟรี
นี่คือผลงานล่าสุดของ “โนอาห์ เบาม์แบก” ที่เขายังมารับหน้าที่กำกับและเขียนบทหนัง White Noise ด้วยตัวเองอีกเช่นเคย โดยดัดแปลงมาจากนิยายคลาสสิกชื่อเดียวกันของ ดอน เดอลิลโล แน่นอนว่าหนัง ยังคงสไตล์ลีลาและลายเส้นความเป็นโนอาห์อยู่ในหลาย ๆ อณู โดยเฉพาะการใส่ความคมคายในไดอะล็อกการสนทนาสื่อสารระหว่างตัวละครของเรื่อง ที่เต็มไปด้วยความทรงพลังเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าการหยิบนำมาใช้ในหนัง หายนะเรื่องนี้นั้น อาจจะไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่ การเล่าเรื่องของหนัง White Noise เรื่องนี้ค่อนข้างเฉพาะตัวมาก ๆ โดยหนังคลื่นเสียงของความกลัวตาย อาจจะท่วงทำนองออกเป็น 3 ช่วงหลัก ๆ แม้ว่าเราจะพยายามนำมาเชื่อมโยงและปะติดปะต่อแต่พาร์ทเข้าเอาไว้ด้วยกันแล้ว แต่ก็พบว่าหนัง ยังค่อนข้างโดดเด่นเฉพาะพาร์ทมในตัวเองไปสักหน่อย กลายเป็นส่วนผสมที่ยังไม่ค่อยเข้าเนื้อด้วยกันได้ดีนัก พาร์ทแรกคือความท้าทายมาก เพราะหนัง เริ่มต้นด้วยการปูเรื่องเชิงปรัชญาและระรัวทฤษฎีกับบทสนทนาอัดแน่น เป็นชาเลนจ์มาก ๆ ที่ผู้ชมจะต้องผ่านพาร์ทนี้ตามมาด้วยพาร์ทตรงกลางที่เพิ่มระดับความอลหม่านกับเนื้อหาเหตุหายนะ พาร์ทนี้ที่ว่าเป็นการยกระดับอารมณ์ของผู้ชมได้ดี มันช่างน่าตื่นเต้นและน่าตื่นตา เต็มไปด้วยจังหวะสนุก ๆ แบบหนังเชิงพาณิชย์ทั่วไป แม้ว่าตัวหนังจะยังคงยิงระรัว ๆ บทสนทนาเอาไว้แบบไม่หยุดหายใจเช่นเคยก็ตาม แต่เป็นพาร์ทที่ทำให้หนัง HD ดูน่าติดตามขึ้นมาหน่อย แต่พอเข้าสู่พาร์ทสุดท้ายที่น่าจะเป็นองก์ที่ทรงพลังที่สุด แต่กลับรู้สึกว่าดีกรีของหนังที่เพิ่งขึ้นไปจุดสูงสุดมา ค่อย ๆ ไต่ระดับลงมา แม้ว่าองก์สุดท้ายจะเป็นท่วงทำนองของปัญหาชีวิตและประเด็นในครอบครัว เนื้อหาและไดอะล็อกในช่วงนี้ยังค่อนข้างสร้างระยะห่างระหว่างหนัง กับผู้ชมให้แยกออกจากกันมากขึ้น แม้ว่าองก์ดังกล่าวจะมอบรสชาติแบบใกล้เคียงกับที่โนอาห์เคยทำเอาไว้สำเร็จใน Marriage Story ผลงานเรื่องก่อนของเขา แต่น่าเสียดายไปสักหน่อย ที่ผู้ชมค่อนข้างเบลอไปกับการนั่งรถไฟเหาะสายนี้ ที่อยู่ ๆ ก็กลับมาสู่โหมดข้อมูลที่หนักหน่วงอีกครั้ง และเมื่อสู่ปลายทางก็จะพบว่าเป็นหนังที่เต็มไปด้วยข้อมูล แต่กลับยังไม่ค่อยสัมผัสได้ว่า..คืออะไรอย่างไรก็ตาม White Noise ก็ยังได้ไฮไลต์เด็ด ๆ จากทีมนักแสดงที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น “อดัม ไดร์เวอร์” ยังคงมอบการแสดงระดับพรีเมี่ยมตามมาตรฐานความดีงามของเขาอีกครั้ง การแสดงที่เต็มไปด้วยความทรงพลัง พร้อมกับสร้างความตราตรึงใจให้กับหนังได้เป็นอย่างดี ขนลุกทุกครั้งที่เห็นเขาไล่ระดับอารมณ์ระหว่างการสมบทบาทเป็นตัวละครในหนังเรื่องนี้ ไม่น่าประหลาดใจ..เขาสมควรมีชื่อเข้าชิงรางวัลอีกปี ขณะที่ภรรยาของผู้กำกับ “เกรต้า เกอร์วิก” ก็ยังคงมอบการแสดงชั้นเลิศออกมา เธอทำงานได้ดีที่เบื้องหน้าและเบื้อหลัง เมื่อกลับมารับงานแสดงเบื้องหน้าอีกครั้ง เธอก็ยังทำได้ดีและน่าประทับใจ และที่ขโมยซีนไม่น้อยเลย ก็คือ “ดอน ชีเดิล” แม้เราอาจจะยังไม่เข้าถึงคาแรกเตอร์ของเขาที่เต็มไปด้วยข้อมูลและปรัชญาเต็มไปมหด แต่ออกมาทุกซีนก็คือน่าประทับใจองค์ประกอบงานสร้างของ White Noise ก็ถือว่าเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี โปรดักชั่นดีไซน์เนรมิตความเป็นยุค 80s ออกมาได้น่าประทับใจ งานภาพและมุมกล้องต่าง ๆ ของหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของผู้กำกับผู้นี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นที่สุด แต่ก็นับว่าเป็นการใส่ใจในงานโปรดักชั่นที่ค่อนข้างน่าพอใจดี พร้อมกับเก็บรายละเอียดในการสอดเสียดสังคมอเมริกาแบบพอใช้ได้ ถึงแม้ว่า White Noise อาจจะยังไม่ใช่หนังที่ซื้อใจผู้ชมได้สักเท่าไหร่ เพราะหนังเต็มไปด้วยประเด็นและข้อมูลต่าง ๆ มากมายแสนยุ่งเหยิง ถูกจับโยนมาใส่ให้คนดูได้แบกรับเพียงลำพัง มีทั้งความเป็นหนังหายนะ เป็นหนังครอบครัว เป็นหนังลึกลับ แต่กลับยังไม่สามารถผนึกรวมเข้าไว้เป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงจะได้การแสดงที่ยอดเยี่ยมจากแคสติ้งชุดนี้ แต่นี่คงจะเป็นหนังที่ดีแต่ยังไม่มีอะไรให้น่าหลงใหลเท่าไหร่หนัง White Noise เป็นหนังตลกร้ายของ Noah Baumbach หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากนวนิยายปี 1985 ของ Don DeLillo หนัง White Noise นำเสนอแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ ลัทธิบริโภคนิยม ทฤษฎีสมคบคิด และสภาวะอุปทานหมู่ หรืออีกหลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ ทั้งความตายและความกลัว ที่คละเคล้ากันเป็นความโกลาหลขนาดย่อม และอาจมีประเด็นที่เชื่อมโยงมายังวัฒนธรรมของเราที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงยุค 2020s อย่างปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจาก เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ซึ่งไม่ค่อยมีความสงบและความสุขมากนัก แต่แล้วก็ต้องมาเจอกับเหตุการณ์สารพิษที่ปนเปื้อนในอากาศ และนั่นก็มีความใกล้เคียงกับเหตุการณ์โรคระบาดแบบในยุคปัจจุบันของเรา เปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจและดี เมื่อศาสตราจารย์ที่ชื่อ Murray Siskind กำลังสอนนักศึกษาด้วยการนำเสนอฉากรถชนกันในหนังเขาอธิบายให้เราเข้าใจถึงฉากรถชนในหนัง อย่างผ่อนคลายและเข้าใจง่าย ว่าด้วยการรับรู้ต่อภาพเหตุการณ์และความสัมพันธ์กับผู้ชม เขากล่าวว่าฉากรถชนกันในหนังเป็นประเพณีของการมองโลกในแง่ดีที่มีมายาวนานของอเมริกัน ซึ่งผู้ชมก็เพียงแค่มองข้ามความรุนแรงไป เพราะหากเราเห็นเหตุการณ์รถชนจริงๆ ในชีวิตประจำวันเราคงไม่รู้สึกแบบดูในหนังแน่นอน อย่างไรก็ตาม ฉากเปิดเรื่องนี้เป็นเหมือนการบอกใบ้ในช่วงกลางเรื่องที่จะนำไปสู่หายนะบางอย่าง และเหมือนเป็นการขอให้ผู้ชมจินตนาการว่าพวกเขาจะทำอย่างไรหากติดอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันหนัง ถูกแบ่งออกเป็น 3 องก์ด้วยกัน โดยในองก์แรกอาจเรียกได้ว่าเป็นการเสียดสีสถาบันการศึกษาหรือองก์ความรู้ต่างๆ
ทฤษฎีความรู้จากการ ดู หนัง ออนไลน์ ฟรี เรื่อง White Noise (2022)
เราจะเห็นได้ว่ามีการพ่นทฤษฎีความรู้ออกมามากมาย ดูหนัง ทั้งกลุ่มอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย และครอบครัวของตัวละครนำ ที่ประกอบไปด้วยศาสตราจารย์ Jack Gladney (รับบทโดย Adam Driver) หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่ศึกษาเจาะลึกเกี่ยวกับฮิตเลอร์ และภรรยาของเขา Babbette ทั้งคู่มีลูกด้วยกันและลูกติดของทั้งคู่ ซึ่งเป็นแบบผสมผสานสุดงง และรวมทั้งหมดแล้วมี 4 คนด้วยกัน ครอบครัวนี้อาจเป็นตัวแทนของครอบครัวอเมริกันในชีวิตประจำวัน ที่พยายามจะหลุดพ้นจากปัญหาชีวิตที่ครอบงำโดยนักปรัชญาในประวัติศาสตร์ โดยมีฉากหนึ่งที่ Babbette และ Jack ได้พูดคุยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความสุขที่พวกเขาได้รับ โดยตั้งคำถามว่าพวกเขาทั้งคู่ใครควรตายก่อนกันดูเหมือนว่าในองก์แรกหนัง จะทำให้เห็นว่าความตายเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ในองก์ที่ 2 เราจะได้สัมผัสมันมากขึ้น! จากเหตุการณ์รถไฟชนรถบรรทุกที่ชานเมืองส่งผลให้เกิดสารเคมีลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า จนทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นต้องอพยพ รวมถึงครอบครัว Gladney ด้วย จากฉากสุดโกลาหลในพื้นที่บ้านและมหาวิทยาลัยก็มาเกิดขึ้นบนท้องถนนท่ามกลางการอพยพครั้งใหญ่ และองก์นี้ถือเป็นการโชว์ความสำเร็จทางเทคนิคที่น่าประทับใจที่สุดของผู้กำกับ Baumbach ที่ต้องติดตามครอบครัวหนึ่งที่กำลังหลบหนีจากสิ่งที่ไม่มีตัวตน สำหรับองก์สุดท้าย ได้ทวีความเข้มข้นมากขึ้น แม้ว่าจะดำเนินเรื่องมาทั้งเรื่องด้วยความซีเรียสแบบย่อยได้ก็ตาม ทว่ามันก็แอบสูญเสียโทนเดิมของหนัง ที่ลากมาตั้งแต่แรกไปบางส่วน โดยเฉพาะแถวๆ ฉากหักมุม แต่อย่างไรก็ตาม ครอบครัวหรรษาก็ได้กลับมาใช้ชีวิตในบ้านอีกครั้งเหตุการณ์ประหลาดของหนัง ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์รถไฟชนรถบรรทุกที่เกิดขึ้นในเรื่องเพียงเท่านั้น แต่ความประหลาดมันยังเกิดขึ้นในทุกๆ ส่วนของหนัง ที่ฉายมาให้เราเห็นแม้ว่าบางครั้งมันก็อาจจะเกิดขึ้นจริงกับมนุษย์อย่างเราๆ อย่างเช่น Jack ได้รับสารพิษในอากาศ ซึ่งเขารับรู้จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออย่างน่ากลัวว่าเขาจะต้องตายในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ส่วน Babette ก็กลัวความตายของเธอเองเช่นกัน เธอมีอาการภาวะสมองเสื่อมระยะแรก จนทำให้เธอก้าวถลำไปติดยาลึกลับที่ชื่อไดลาร์ หรือหากเราย้อนไปในยุคก่อนจะมี YouTube เด็กๆ ของครอบครัว Gladney ต่างก็หมกมุ่นอยู่กับภาพเครื่องบินตกในข่าวทีวี และเฝ้ารอมันอย่างกระวนกระวายเพื่อให้ภาพปรากฏอีกครั้ง เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนรีวิวจึงมองว่าความตายเหมือนจะเป็นระดับของความรุนแรงของหนัง เรื่องนี้ ภายใต้วิกฤตที่เกิดขึ้นในเขตชุมชนและความตลกร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตคู่และครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาของเราในยุคโควิดนี้เอง ที่ทำให้ การกลัวตาย เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ท่ามกลางข่าวลือและการคาดเดาต่างๆ นานา หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าตัวละครจะรู้สึกกลัวตาย แต่ในเวลาเดียวกันก็เลือกเสพมันเพื่อเป็นหลักประกันเดียวของความมั่นคงในชีวิตของพวกเขา เหมือนการดูฉากรถชนกันในหนัง นั่นเองและเราสามารถไปติดตามดูพวกเขาได้ในหนังเรื่อง white noise